ข้ามไปเนื้อหา

รัฐอะแลสกา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก อะแลสกา)
รัฐอะแลสกา
สมญา: 
The Last Frontier
คำขวัญ: 
North to the Future
แผนที่สหรัฐเน้นรัฐอะแลสกา
แผนที่สหรัฐเน้นรัฐอะแลสกา
ประเทศสหรัฐ
เข้าร่วมสหรัฐ3 มกราคม 1961 (49)
เมืองหลวงจูโน
เมืองใหญ่สุดแองคอเรจ
การปกครอง
 • ผู้ว่าการบิล วอล์กเกอร์ (I)
สมาชิกวุฒิสภาลิซา เมอร์โคว์สกี (R)
แดน ซัลลิแวน (R)
พื้นที่
 • ทั้งหมด663,268 ตร.ไมล์ (1,717,856 ตร.กม.)
 • พื้นดิน571,951 ตร.ไมล์ (1,481,346 ตร.กม.)
 • พื้นน้ำ91,316 ตร.ไมล์ (236,507 ตร.กม.)  13.77%
อันดับพื้นที่1
ประชากร
 • ทั้งหมด626,932[1] คน
 • อันดับ48
 • ความหนาแน่น1.29 คน/ตร.ไมล์ (0.49 คน/ตร.กม.)
 • อันดับความหนาแน่น50
ภาษา
 • ภาษาทางการภาษาอังกฤษ
เขตเวลาUTC-9/-8
อักษรย่อไปรษณีย์AK
รหัส ISO 3166US-AK
เว็บไซต์www.alaska.gov

อะแลสกา (อังกฤษ: Alaska, เสียงอ่านภาษาอังกฤษ: /əˈlæs kə/) รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับสหรัฐอเมริกา นับเป็นรัฐที่ 49 มีจำนวนประชากร 626,932 คน (ค.ศ. 2000) ชื่อ อะแลสกา นั้นน่าจะเพี้ยนมาจากคำในภาษาอะลิวต์ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่น แปลว่า "ดินแดนที่ไม่ใช่เกาะ"

ประวัติศาสตร์

[แก้]

18 ตุลาคม ค.ศ. 1867 หรือเมื่อประมาณ 145 ปีที่แล้ว เป็นวันที่อะแลสกาของรัสเซียเข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองของสหรัฐโดยสมบูรณ์ โดยในวันนั้น ที่เมือง โนวา - อาร์คานเกลสค์ เมืองหลวงอะแลสกาของรัสเซีย ที่ต่อมาถูกเปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อเดิมคือ ซิทกา ได้มีพิธีส่งมอบคาบสมุทรแห่งนี้ให้กับสหรัฐ

ตามประวัติเชื่อว่าคนเชื้อสายเอเชียอพยพข้ามช่องแคบเบริง เข้ามาลงหลักปักฐานที่อะแลสการาวเมื่อ 1 หมื่น 2 พันปีก่อน การเข้าไปติดต่อกับคนที่นี่ของชาวยุโรป เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1741 เมื่อ วิตุส เบริง เดินทางไปที่นั่นกับเรือเซ็นต์ปีเตอร์ เพื่อทำการสำรวจให้กับกองทัพเรือรัสเซีย และเมื่อคณะสำรวจกลับออกมา ขนสัตว์จากที่นั่นก็ได้รับการยกย่องว่ามีคุณภาพดีเยี่ยม คณะนักค้าขนสัตว์เล็ก ๆ จึงเริ่มมาที่อะแลสกา โดยหลักฐานการตั้งหลักฐานของชาวยุโรปที่นี่ว่าเกิดขึ้นในปี 1784

ตั้งแต่ช่วงต้นจนถึงช่วงกลางทศวรรษที่ 1800 รัสเซียและสหรัฐเริ่มเข้ามาสำรวจอะแลสกาเพื่อโครงการขยายอาณานิคม แต่รัสเซียไม่เคยผนวกอะแลสกาเป็นอาณานิคมโดยสมบูรณ์ และก็ไม่ได้หาประโยชน์จากดินแดนแห่งนี้มากนัก ผิดกับฝ่ายสหรัฐที่ได้แสดงความสนใจในดินแดนแห่งนี้

ข้อตกลงเรื่องการขายอะแลสกา ลงนามโดยนายวิลเลียม เอช. ซูเวิร์ด รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐเมื่อ 30 มีนาคม ค.ศ. 1867 ฝ่ายสหรัฐต้องจ่ายเป็นค่าดินแดนขนาด 1 ล้าน 5 แสนตารางกิโลเมตรเพียง 7 ล้าน 2 แสนดอลลาร์ หรือเทียบเท่ากับ 11 ล้านรูเบิลทองคำ

นักประวัติศาสตร์ในยุคปัจจุบันหลายคนตำหนิการตัดสินพระทัยของจักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 2 แห่งรัสเซียว่ามองการณ์ใกล้และไม่รักชาติ เนื่องจากในพื้นที่มีประชากรชาวรัสเซียอยู่เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งมองว่าในสมัยที่ตัดสินพระทัยขายนั้นมีชาวรัสเซียในพื้นที่อะแลสกาเพียงไม่กี่ร้อยคน และยังไม่มีการค้นพบทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ

ส่วนทางฝ่ายสหรัฐ หลายคนในยุคนั้นมองไม่เห็นประโยชน์ของการซื้ออะแลสกาซึ่งอยู่ห่างไกลและไม่มีผู้อยู่อาศัย สื่อมวลชนในยุคนั้นก็ล้อเลียนรัฐบาลว่าเสียเงินไปมากมายเพื่อซื้อก้อนน้ำแข็ง ถึงขั้นมีข่าวลือว่านักการทูตรัสเซียติดสินบนข้าราชการสหรัฐเดินเรื่องเพื่อให้มีการซื้อขาย เพิ่งจะปลายศตวรรษที่ 19 เท่านั้นที่เริ่มมีการค้นพบทองคำ ต่อมาก็ยังพบน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอีกมากมายมหาศาล

ตอนแรกเมื่อมาอยู่กับสหรัฐนั้น อะแลสกาอยู่ในการดูแลของกระทรวงการทหาร ต่อมาก็ถูกยกระดับสถานะเรื่อยมา จนได้เป็นรัฐที่ 49 ของสหรัฐ เมื่อปี 1959

ภูมิประเทศ

[แก้]

รัฐอะแลสกามีพื้นที่ทางตะวันออกติดต่อกับดินแดนยูคอนและรัฐบริติชโคลัมเบียของแคนาดา ทางใต้ติดต่อกับอ่าวอะแลสกาและมหาสมุทรแปซิฟิก ทางตะวันตกติดกับทะเลเบริง ช่องแคบเบริง และทะเลชุกชี ส่วนทางเหนือติดกับทะเลโบฟอร์ตและมหาสมุทรอาร์กติก อะแลสกาเป็นรัฐที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา แต่ไม่มีเขตแดนติดกับอเมริกาแผ่นดินใหญ่โดยสิ้นเชิง

อะแลสกามีภูเขาไฟอยู่ 41 ลูก ที่อันตรายที่สุดคือภูเขาออกัสติน [2]

การเมืองการปกครอง

[แก้]

คล้ายกับรัฐอื่น ๆ ของสหรัฐอเมริกา รัฐอะแลสกาปกครองแบบสาธารณรัฐ ด้านการปกครองแบ่งเป็นสามส่วน คือ ด้านการบริหารประกอบด้วยผู้ว่าการรัฐและเจ้าหน้าที่ที่มาจากการเลือกตั้ง ด้านกฎหมายประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และด้านศาลปกครองประกอบด้วยศาลสูงและศาลล่าง

ภาษี

[แก้]

รายได้หลักของอะแลสกามาจากน้ำมันและเงินอุดหนุนของรัฐ ทำให้รัฐกำหนดให้รัฐอะแลสกามีฐานภาษีรายได้ต่ำมากที่สุดรัฐหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ในขณะที่อะแลสกาไม่มีการคิดภาษีจากการขายสินค้า แต่เมือง 89 เมืองของรัฐมีการเก็บภาษีสินค้าในอัตรา 1-7.5% ซึ่งเมืองในรัฐอื่นเก็บภาษีที่ 3-5% สินค้าที่มีการเก็บภาษี ได้แก่ ปลาสด โรงแรม ที่พัก ภาษีจากจำนวนเตียงของการบริการที่พักแบบ bed-and-breakfast ภาษีจากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานไม่หมุนเวียน (severance taxes) เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ยาสูบ เกม pull tab ยางรถยนต์ และการขนถ่ายน้ำมัน นอกจากนี้รายได้บางส่วนยังเก็บจากภาษีของรัฐและค่าลิขสิทธิ์รวมกันร่วมกับเมืองต่างๆ ในรัฐอะแลสกา

เมือง Fairbanks มีการเก็บภาษีที่ดินที่แพงที่สุดในรัฐอะแลสกา ขณะที่ไม่มีการเก็บภาษีจากการขายสินค้าหรือภาษีเงินได้

ในปี 2008 องค์กรด้านภาษี (Tax Foundation) ได้จัดอันดับรัฐอะแลสกาให้เป็นอันดับที่ 4 ของการมีนโยบายด้านภาษีที่ "เป็นมิตรต่อธุรกิจ" ส่วนรัฐอันดับอื่นๆ ที่มีความเป็นมิตร คือ รัฐไวโอมิ่ง รัฐเนวาดา และรัฐเซาธ์ดาโกต้า

เศรษฐกิจ

[แก้]

ในปี 2007 ผลิตภัณฑ์มวลรวมของรัฐ (gross state product) เท่ากับ 44.9 พันล้านเหรียญสหรัฐนับเป็นอันดับที่ 45 ของประเทศ รายได้ส่วนบุคคลเป็น 40,042 เหรียญสหรัฐจัดเป็นอันดับที่ 15 ของประเทศ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติเป็นอุตสาหกรรมหลักของรัฐอะแลสกา และมากกว่า 80% ของรายได้ของรัฐมาจากการกลั่นนํ้ามัน ส่วนผลิตภัณฑ์การส่งออกอื่นๆ (นอกเหนือจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ) คือ อาหารทะเล แซลมอน ปลาคอด ปลา pollock และปู

การเกษตรมีผลต่อเศรษฐกิจถือเป็นอัตราส่วนที่น้อย การเกษตรกรรมส่วนใหญ่เพื่อการบริโภคภายในรัฐเอง รวมถึงการเลี้ยงสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนม ผัก และปศุสัตว์ ด้านโรงงานการผลิตสินค้ามีไม่มาก อาหารสัตว์ส่วนใหญ่และอาหารทั่วไปถูกนำเข้าจากที่อื่น

การจ้างงานโดยหลักแล้วอยู่ในองค์กรของรัฐและอุตสาหกรรรม ตัวอย่างเช่น การกลั่นน้ำมัน การเดินเรือ และการขนส่ง มีการตั้งเขตทหารในบริเวณ Fairbanks และ Anchorage นอกจากนี้ เงินอุดหนุนจากรัฐบาลถือเป็นส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจของอะแลสกา โดยมีกฎหมายของรัฐในระบบการจัดเก็บภาษีที่ต่ำ มีการเติบโตของด้านการบริการและการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวบางส่วนได้มีการสร้างที่พักชุมชนเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจของรัฐ

วัฒนธรรม

[แก้]

ส่วนใหญ่จะมีการรวบรวมวัฒนธรรมของทุกรัฐในสหรัฐอเมริกากับวัฒนธรรมชาวพื้นเมืองอะแลสกา โดยมีงาน Alaska Native Heritage Center จัดทุกปีมีจุดประสงค์ของงานคือเพื่อเสริมสร้างความภาคภูมิใจในตนเองของชาวพื้นเมืองและเพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้ามวัฒนธรรมของคนทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีเทศกาล เป็นการแข็งความแข็งแรงของสุนัขในเมืองหนาว โดยเริ่มที่เมือง Achorage และสิ้นสุดที่เมือง Nome และยังมีการแข่งขัน World Ice Art Championships เป็นการแข่งขันทำศิลปะจากหิมะจากทั่วทุกมุมโลก

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]
pFad - Phonifier reborn

Pfad - The Proxy pFad of © 2024 Garber Painting. All rights reserved.

Note: This service is not intended for secure transactions such as banking, social media, email, or purchasing. Use at your own risk. We assume no liability whatsoever for broken pages.


Alternative Proxies:

Alternative Proxy

pFad Proxy

pFad v3 Proxy

pFad v4 Proxy