ยุคยาโยอิ
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ |
ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น |
---|
ยุคยาโยอิ (ญี่ปุ่น: 弥生時代; โรมาจิ: Yayoi jidai) เริ่มต้นในยุคหินใหม่ตอนปลายในประเทศญี่ปุ่น ดำเนินต่อไปในยุคสัมฤทธิ์ และสิ้นสุดที่ยุคเหล็ก[1]
ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1980 นักวิชาการได้โต้แย้งว่าช่วงเวลาที่ก่อนหน้านี้จัดว่าเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากยุคโจมงควรจัดประเภทใหม่เป็นยุคยาโยอิตอนต้น[2] ปีที่เริ่มต้นการเปลี่ยนผ่านนี้เป็นที่ถกเถียงกัน โดยมีการประมาณการอยู่ในขอบเขตจากศตวรรษที่ 10 ถึงศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราช[1][3]
ยุคสมัยนี้ได้ชื่อตามย่านในโตเกียวที่นักโบราณคดีค้นพบโบราณวัตถุและคุณลักษณะจากยุคนั้นเป็นครั้งแรกในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ลักษณะเด่นของยุคยาโยอิได้แก่ รูปลักษณ์เครื่องปั้นดินเผายาโยอิ งานช่างไม้และสถาปัตยกรรมที่ผ่านการปรับปรุง และจุดเริ่มต้นการทำนาข้าวแบบเข้มข้นในนา[4] โครงสร้างชนชั้นทางสังคมแบบลำดับชั้นสืบต้นตอจากยุคนี้ และมีต้นตอจากจีน เทคนิควิศวกรรมโลหการจากการใช้สัมฤทธิ์และเหล็กก็นำเข้าจากจีนผ่านเกาหลีไปจนถึงญี่ปุ่นในช่วงนี้ด้วย[5]
หลังยุคยาโยอิก็เข้าสู่ยุคโจมง และวัฒนธรรมยาโยอิเจริญรุ่งเรื่องในพื้นที่คีวชูใต้ถึงฮนชูเหนือ หลักฐานทางโบราณคดีสนับสนุนแนวคิดที่ว่าในช่วงเวลานี้ การอพยพเข้ามาของชาวนา (ชาวยาโยอิ) จากคาบสมุทรเกาหลีไปยังญี่ปุ่นอย่างล้นหลามและปะปนไปกับชาวพื้นเมืองที่เก็บของป่าล่าสัตว์เป็นหลัก (ชาวโจมง)
คุณสมบัติ
[แก้]โดยทั่วไปยอมรับว่ายุคยาโยอิกินระยะเวลาจากประมาณ 300 ปีก่อน ค.ศ. ถึง ค.ศ. 300[6][7][8][9][10] อย่างไรก็ตาม หลักฐานคาร์บอนกัมมันตรังสีจากตัวอย่างอินทรีย์ที่ติดกับเศษเครื่องปั้นดินเผาอาจบ่งชี้ว่ามีอายุย้อนไปอีก 500 ปี ระหว่างประมาณ 1,000 ปีก่อน ค.ศ. ถึง 800 ปีก่อน ค.ศ. แม้ว่าจะเป็นของถกเถียงอย่างมาก[1][11] ในยุคนี้ ญี่ปุ่นได้เปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมเกษตรกรรมที่มีการตั้งถิ่นฐานมากขึ้น โดยรับเอาแนวทางการเกษตรและการผลิตพืชผลที่นำเข้าจากเกาหลีมาใช้ในประเทศ (เริ่มต้นที่ภูมิภาคคีวชู)[12][13][14]
หลักฐานทางโบราณคดีแรกสุดในยุคยาโยอิพบที่คีวชูเหนือ[15] แม้ว่าจะมีข้อถกเถียงอยู่ วัฒนธรรมยาโยอิกระจายสู่เกาะฮนชูอย่างรวดเร็ว ผสมเข้ากับวัฒนธรรมโจมงท้องถิ่น[16] ชื่อยาโยอินำมาจากบริเวณที่พบเครื่องปั้นดินเผายุคยาโยอิครั้งแรกในโตเกียว[14] เครื่องปั้นดินเผายุคยาโยอิได้รับการตกแต่งและผลิตอย่างเรียบง่าย โดยใช้เทคนิคขดขึ้นรูป ซึ่งเป็นแบบเดียวกันที่เคยใช้ในเครื่องปั้นดินเผาโจมง[17] ผู้เชี่ยวชาญด้านงานฝีมือยุคยาโยอิทำระฆังพิธีสัมฤทธิ์ (โดตากุ) กระจก และอาวุธ ชาวยาโยอิเริ่มใช้เครื่องมือทางการเกษตรและอาวุธที่ทำมาจากเหล็กในคริสต์ศตวรรษที่ 1
เมื่อประชากรยาโยอิเพิ่มขึ้น สังคมจึงมีการแบ่งชั้นและซับซ้อนมากขึ้น พวกเขาสวมสิ่งทอ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเกษตรกรรมถาวร และสร้างอาคารด้วยไม้และหิน พวกเขายังสะสมความมั่งคั่งผ่านกรรมสิทธิ์ที่ดินและการเก็บรักษาเมล็ดพืช ปัจจัยดังกล่าวส่งเสริมการพัฒนาชนชั้นทางสังคมที่แตกต่างกัน ข้อมูลจีนร่วมสมัยระบุถึงผู้มีรอยสักและเครื่องหมายอื่น ๆ บนร่างกายที่แสดงถึงความแตกต่างในสถานะทางสังคม[18] หัวหน้าชาวยาโยอิในบางพื้นที่ของคีวชูดูเหมือนจะสนับสนุนและมีอิทธิพลทางการเมืองในการค้าขายสัมฤทธิ์และวัตถุมีค่าอื่น ๆ[19] ซึ่งเป็นไปได้ด้วยการนำวิธีการทำนาชลประทานจากชะวากทะเลแยงซีในจีนตอนใต้เข้าสู่ญี่ปุ่นผ่านหมู่เกาะรีวกีวหรือคาบสมุทรเกาหลี[10][20]
การเปรียบเทียบระหว่างโครงกระดูกของโจมงและยาโยอิโดยตรงแสดงให้เห็นว่าทั้งสองชนชาตินี้สามารถแยกความแตกต่างได้อย่างชัดเจน[21] โดยชาวโจมงมีแนวโน้มเตี้ยกว่า มีปลายแขนและขาส่วนล่างยาวกว่าเล็กน้อย ดวงตาลึกกว่า ใบหน้าสั้นและกว้างกว่า และลักษณะใบหน้าที่ชัดเจนกว่ามาก นอกจากนี้ ยังมีสันคิ้ว จมูก และสันจมูกที่ยกขึ้นอย่างโดดเด่น ในขณะที่ชาวยาโยอิมีความสูงเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.5–5 เซนติเมตร (0.98 นิ้ว–1.97 นิ้ว) โดยมีดวงตาตื้น ใบหน้าสูงและแคบ สันคิ้วและจมูกแบน เมื่อถึงยุคโคฟุง โครงกระดูกเกือบทั้งหมดในประเทศญี่ปุุ่นมาจากยุคยาโยอิที่มีโครงกระดูกบางส่วนผสมกับยุคโจมงเล็กน้อย (ยกเว้นจากชาวไอนุ)[22] คล้ายกับโครงกระดูกของชาวญี่ปุ่นยุคปัจจุบัน[23]
ประวัติ
[แก้]ต้นกำเนิดชาวยาโยอิ
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ภาษา
[แก้]นักภาษาศาสตร์และนักโบรณคดีส่วนใหญ่ยอมรับว่าตระกูลภาษาญี่ปุ่นเกิดขึ้นและกระจายทั่วหมู่เกาะในยุคยาโยอิ
การปรากฎตัวของ วัว ในตำราประวัติศาสตร์จีน
[แก้]บันทึกเกี่ยวกับประชากรญี่ปุ่นแรกสุดมาจากข้อมูลของจีนในยุคนี้ โดยกล่าวถึงวัว รูปสะกดของประเทศญี่ปุ่นในภาษาจีนตอนต้น ใน ค.ศ. 57; รัฐนะแห่งวัวได้รับตราประทับทองคำจากจักรพรรดิกวังอู่แห่งราชวงศ์ฮั่นตอนปลาย เหตุการณ์นี้ได้รับการบันทึกใน โฮ่วฮั่นชู ที่รวบรวมโดยฟ่าน เย่ในคริสต์ศตวรรษที่ 5 ตรานี้ได้รับการค้นพบี่คีวชูเหนือในคริสต์ศตวรรษที่ 18[24] วัวยังได้รับการกล่าวถึงใน ค.ศ. 257 จากสามก๊กจี่ส่วนเว่ย์จื้อ ที่รวบรวมโดยตันซิ่ว นักวิชาการในคริสต์ศตวรรษที่ 3[25]
นักประวัติศาสตร์จีนช่วงต้นกล่าวถึงวัวเป็นดินแดนที่มีชุมชนชนเผ่าที่กระจัดกระจายอยู่หลายร้อยแห่ง แทนที่จะเป็นดินแดนเดียวซึ่งมีประเพณียาวนาน 700 ปีดังที่ระบุไว้ในนิฮงโชกิ ผลงานในคริสต์ศตวรรษที่ 8 ที่บันทึกข้อมูลทางประวัติศาสตร์และตำนานเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งระบุปีก่อตั้งเมื่อ 660 ปีก่อนคริสต์ศักราช หลักฐานทางโบราณคดียังชี้ให้เห็นว่ามีความขัดแย้งระหว่างที่ตั้งถิ่นฐานหรือรัฐเล็ก ๆ เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงเวลาดังกล่าว โดยแหล่งชุมชนที่ผ่านการขุดพบหลายแห่งมีคูน้ำล้อมรอบหรือสร้างขึ้นบนยอดเขา โครงกระดูกมนุษย์ไร้หัวหลายอัน[26]ที่ค้นพบในอุทยานประวัติศาสตร์โยชิโนงาริถือเป็นตัวอย่างสิ่งที่พบได้ทั่วไปจากช่วงเวลานั้น ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลใน หัวลูกศรหินมักพบอยู่ท่ามกลางวัตถุฝังศพ
ข้อมูลจีนในคริสต์ศตวรรษที่ 3 รายงานว่าชาววะดำรงชีวิตด้วยปลาดิบ ผัก และข้าวที่กินบนถาดไม้ไผ่และไม้ ตบมือบูชา (เป็นสิ่งที่ยังคงมีอยู่ในศาลเจ้าชินโตในปัจจุบัน)[27] และก่อเนินดินฝังศพ
ยามาไตโกกุ
[แก้]เว่ย์จื้อ (จีน: 魏志) ในสามก๊กจี่กล่าวถึงยามาไตโกกุและราชินีฮิมิโกะครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 3 โดยมีข้อมูลว่า หลังสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ ฮิมิโกะขึ้นปกครองราชบัลลังก์วะในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณ น้องชายของเธอดำรงตำแหน่งกิจการของรัฐ รวมทั้งความสัมพันธ์ทางการทูตกับราชสำนักจีนในวุยก๊ก[28] เมื่อทูตวุยก๊กถามถึงต้นกำเนิด ชาววะอ้างว่าตนเป็นลูกหลานของอู๋ไท่ปั๋ว บุคคลทางประวัติศาสตร์ของรัฐอู๋ในบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซีของจีน
สถานที่ตั้งของยามาไตโกกุและตัวตนของราชินีฮิมิโกะเป็นประเด็นที่มีการค้นคว้ามาหลายปี โดยมีสถานที่ที่เป็นไปได้สองแห่ง คือ โยชิโนงาริในจังหวัดซางะและมากิมูกุในจังหวัดนาระ[29] การค้นคว้าทางโบราณคดีล่าสุดในมากิมูกุเสนอแนะว่ายามาไตโกกุตั้งอยู่ในพื้นที่นี้ นักวิชาการบางส่วนสันนิษฐานว่าฮาชิฮากะโคฟุงที่มากิมูกุคือสุสานของฮิมิโกะ[30] ความสัมพันธ์ของยามาไตโกกุกับต้นกำเนิดหน่วยการเมืองยามาโตะในยุคโคฟุงยังคงเป็นประเด็นถกเถียง
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 Shōda, Shinya (2007). "A Comment on the Yayoi Period Dating Controversy". Bulletin of the Society for East Asian Archaeology. 1. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-08-01. สืบค้นเมื่อ 2023-05-23.
- ↑ Habu 2004, p. 258.
- ↑ Mizoguchi, Koji (2013). The Archaeology of Japan: From the Earliest Rice Farming Villages to the Rise of the State. Cambridge University Press. pp. 35–36. ISBN 978-0-521-88490-7.
- ↑ Seike, Kiyoshi (1977). The art of Japanese joinery. Yuriko Yobuko, Rebecca M. Davis (1st ed.). New York: J. Weatherhill. p. 8. ISBN 0-8348-1516-8. OCLC 3071841.
- ↑ Farris, William Wayne (1996). "Ancient Japan's Korean Connection". Korean Studies. 20 (1): 1–22. doi:10.1353/ks.1996.0015. JSTOR 23719600. S2CID 162644598.
- ↑ Hays, J. (n.d.). Yayoi people, life, and culture (400 B.C.-A.D. 300). Facts and Details. https://factsanddetails.com/japan/cat16/sub105/entry-5285.html
- ↑ "Yayoi Period (300 BCE – 250 CE)". Japan Module. Pitt.
- ↑ "Timelines: Japan". Asia for Educators. Columbia University.
- ↑ "Bronze mirror". Pitt Rivers Museum Body Arts. Oxford.
- ↑ 10.0 10.1 Keally, Charles T. (2006-06-03). "Yayoi Culture". Japanese Archaeology. Charles T. Keally. สืบค้นเมื่อ 2010-03-19.
- ↑ Shoda, Shin'ya (2010). "Radiocarbon and Archaeology in Japan and Korea: What has Changed Because of the Yayoi Dating Controversy?". Radiocarbon. Cambridge University Press (CUP). 52 (2): 421–427. Bibcode:2010Radcb..52..421S. doi:10.1017/s0033822200045471. ISSN 0033-8222.
- ↑ "The Yayoi Period: Analyzing its Culture Through Agricultural Tools". Japan Times. 16 August 2012.
- ↑ Picken, Stuart D. B. Historical Dictionary of Japanese Business. Scarecrow Press. p. 13.
- ↑ 14.0 14.1 Imamura, Keiji. Prehistoric Japan: New Perspectives on Insular East Asia. University of Hawaii Press. p. 13.
- ↑ "Annual Report on Research Activity 2004". JP: Rekihaku.
- ↑ Seiji Kobayashi. "Eastern Japanese Pottery During the Jomon-Yayoi Transition: A Study in Forager-Farmer Interaction". Kokugakuin Tochigi Junior College. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-09-23.
- ↑ Yayo, Met museum
- ↑ Lock, Margaret (1998). "Japanese". The Encyclopedia of World Cultures CD-ROM. Macmillan. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 13, 2012. สืบค้นเมื่อ July 10, 2015.
- ↑ Pearson, Richard J. Chiefly Exchange Between Kyushu and Okinawa, Japan, in the Yayoi Period. Antiquity 64(245) 912–22, 1990.
- ↑ Earlier Start for Japanese Rice Cultivation, Dennis Normile, Science, 2003 (archive)
- ↑ 縄文人の顔と骨格-骨格の比較 เก็บถาวร 2007-12-23 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Information technology Promotion Agency
- ↑ "Repository" (PDF). University of the Ryukyus. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-09-25. สืบค้นเมื่อ 2009-05-30.
- ↑ Diamond, Jared (June 1, 1998). "Japanese Roots". Discover Magazine. 19 (6 June 1998). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-11-24. สืบค้นเมื่อ 14 December 2013.
- ↑ "Gold Seal (Kin-in)". Fukuoka City Museum. สืบค้นเมื่อ 2007-11-10.
- ↑ 魏志倭人伝 เก็บถาวร 2010-10-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Chinese texts and its Japanese translation
- ↑ Huffman, James L. (2010-02-04). Japan in World History (ภาษาอังกฤษ). Oxford University Press. ISBN 978-0-19-970974-8.
- ↑ Wikisource
- ↑ 魏志倭人伝, Chinese texts of the Wei Zhi, Wikisource
- ↑ Karako-kagi Archaeological Museum (2007). "ヤマト王権はいかにして始まったか". Comprehensive Database of Archaeological Site Reports in Japan. สืบค้นเมื่อ 2016-09-01.
- ↑ Edwards, Walter (1996). "In Pursuit of Himiko. Postwar Archaeology and the Location of Yamatai". Monumenta Nipponica. 51 (1): 74. doi:10.2307/2385316. ISSN 0027-0741. JSTOR 2385316.
บรรณานุกรม
[แก้]- Beckwith, Christopher I. (2004), Koguryo, the Language of Japan's Continental Relatives, Brill, ISBN 978-90-04-13949-7.
- Habu, Junko (2004), Ancient Jomon of Japan, Cambridge, MA: Cambridge Press, ISBN 978-0-521-77670-7.
- Miyamoto, Kazuo (2016), "Archaeological Explanation for the Diffusion Theory of the Japonic and Koreanic Language" (PDF), Japanese Journal of Archeology, 4 (1): 53–75.
- Serafim, Leon A. (2008), "The uses of Ryukyuan in understanding Japanese language history", ใน Frellesvig, Bjarke; Whitman, John (บ.ก.), Proto-Japanese: Issues and Prospects, John Benjamins, pp. 79–99, ISBN 978-90-272-4809-1.
- Unger, J. Marshall (2009), The role of contact in the origins of the Japanese and Korean languages, Honolulu: University of Hawaii Press, ISBN 978-0-8248-3279-7.
- Vovin, Alexander (2013), "From Koguryo to Tamna: Slowly riding to the South with speakers of Proto-Korean", Korean Linguistics, 15 (2): 222–240, doi:10.1075/kl.15.2.03vov.
- Vovin, Alexander (2017), "Origins of the Japanese Language", Oxford Research Encyclopedia of Linguistics, Oxford University Press, doi:10.1093/acrefore/9780199384655.013.277, ISBN 978-0-19-938465-5.
อ่านเพิ่ม
[แก้]- Schirokauer, Conrad (2013). A Brief History of Chinese and Japanese Civilizations. Boston: Wadsworth Cengage Learning.
- Silberman, Neil Asher (2012). The Oxford Companion to Archaeology. New York: Oxford University Press.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Yayoi Culture, Department of Asian Art, The Metropolitan Museum of Art
- Yayoi period เก็บถาวร 2016-03-03 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน at Japanese History Online (under construction) เก็บถาวร 2020-09-23 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- An article by Richard Hooker on the Yayoi and the Jōmon.
- Comprehensive Database of Archaeological Site Reports in Japan, Nara National Research Institute for Cultural Properties
- Article "Japanese Roots Surprisingly Shallow" from Japan Times