ข้ามไปเนื้อหา

ยุคยาโยอิ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(ต่าง) ←รุ่นเก่ากว่านี้ | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นที่ใหม่กว่า → (ต่าง)

ยุคยาโยอิ (ญี่ปุ่น: 弥生時代โรมาจิYayoi jidai) เริ่มต้นในยุคหินใหม่ตอนปลายในประเทศญี่ปุ่น ดำเนินต่อไปในยุคสัมฤทธิ์ และสิ้นสุดที่ยุคเหล็ก[1]

ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1980 นักวิชาการได้โต้แย้งว่าช่วงเวลาที่ก่อนหน้านี้จัดว่าเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากยุคโจมงควรจัดประเภทใหม่เป็นยุคยาโยอิตอนต้น[2] ปีที่เริ่มต้นการเปลี่ยนผ่านนี้เป็นที่ถกเถียงกัน โดยมีการประมาณการอยู่ในขอบเขตจากศตวรรษที่ 10 ถึงศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราช[1][3]

ยุคสมัยนี้ได้ชื่อตามย่านในโตเกียวที่นักโบราณคดีค้นพบโบราณวัตถุและคุณลักษณะจากยุคนั้นเป็นครั้งแรกในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ลักษณะเด่นของยุคยาโยอิได้แก่ รูปลักษณ์เครื่องปั้นดินเผายาโยอิ งานช่างไม้และสถาปัตยกรรมที่ผ่านการปรับปรุง และจุดเริ่มต้นการทำนาข้าวแบบเข้มข้นในนา[4] โครงสร้างชนชั้นทางสังคมแบบลำดับชั้นสืบต้นตอจากยุคนี้ และมีต้นตอจากจีน เทคนิควิศวกรรมโลหการจากการใช้สัมฤทธิ์และเหล็กก็นำเข้าจากจีนผ่านเกาหลีไปจนถึงญี่ปุ่นในช่วงนี้ด้วย[5]

หลังยุคยาโยอิก็เข้าสู่ยุคโจมง และวัฒนธรรมยาโยอิเจริญรุ่งเรื่องในพื้นที่คีวชูใต้ถึงฮนชูเหนือ หลักฐานทางโบราณคดีสนับสนุนแนวคิดที่ว่าในช่วงเวลานี้ การอพยพเข้ามาของชาวนา (ชาวยาโยอิ) จากคาบสมุทรเกาหลีไปยังญี่ปุ่นอย่างล้นหลามและปะปนไปกับชาวพื้นเมืองที่เก็บของป่าล่าสัตว์เป็นหลัก (ชาวโจมง)

คุณสมบัติ

[แก้]
อุทยานประวัติศาสตร์โยชิโนงาริที่สร้างขึ้นใหม่
ที่อยู่อาศัยแบบยาโยอิที่สร้างขึ้นใหม่ในโยชิโนงาริ

โดยทั่วไปยอมรับว่ายุคยาโยอิกินระยะเวลาจากประมาณ 300 ปีก่อน ค.ศ. ถึง ค.ศ. 300[6][7][8][9][10] อย่างไรก็ตาม หลักฐานคาร์บอนกัมมันตรังสีจากตัวอย่างอินทรีย์ที่ติดกับเศษเครื่องปั้นดินเผาอาจบ่งชี้ว่ามีอายุย้อนไปอีก 500 ปี ระหว่างประมาณ 1,000 ปีก่อน ค.ศ. ถึง 800 ปีก่อน ค.ศ. แม้ว่าจะเป็นของถกเถียงอย่างมาก[1][11] ในยุคนี้ ญี่ปุ่นได้เปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมเกษตรกรรมที่มีการตั้งถิ่นฐานมากขึ้น โดยรับเอาแนวทางการเกษตรและการผลิตพืชผลที่นำเข้าจากเกาหลีมาใช้ในประเทศ (เริ่มต้นที่ภูมิภาคคีวชู)[12][13][14]

หลักฐานทางโบราณคดีแรกสุดในยุคยาโยอิพบที่คีวชูเหนือ[15] แม้ว่าจะมีข้อถกเถียงอยู่ วัฒนธรรมยาโยอิกระจายสู่เกาะฮนชูอย่างรวดเร็ว ผสมเข้ากับวัฒนธรรมโจมงท้องถิ่น[16] ชื่อยาโยอินำมาจากบริเวณที่พบเครื่องปั้นดินเผายุคยาโยอิครั้งแรกในโตเกียว[14] เครื่องปั้นดินเผายุคยาโยอิได้รับการตกแต่งและผลิตอย่างเรียบง่าย โดยใช้เทคนิคขดขึ้นรูป ซึ่งเป็นแบบเดียวกันที่เคยใช้ในเครื่องปั้นดินเผาโจมง[17] ผู้เชี่ยวชาญด้านงานฝีมือยุคยาโยอิทำระฆังพิธีสัมฤทธิ์ (โดตากุ) กระจก และอาวุธ ชาวยาโยอิเริ่มใช้เครื่องมือทางการเกษตรและอาวุธที่ทำมาจากเหล็กในคริสต์ศตวรรษที่ 1

เมื่อประชากรยาโยอิเพิ่มขึ้น สังคมจึงมีการแบ่งชั้นและซับซ้อนมากขึ้น พวกเขาสวมสิ่งทอ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเกษตรกรรมถาวร และสร้างอาคารด้วยไม้และหิน พวกเขายังสะสมความมั่งคั่งผ่านกรรมสิทธิ์ที่ดินและการเก็บรักษาเมล็ดพืช ปัจจัยดังกล่าวส่งเสริมการพัฒนาชนชั้นทางสังคมที่แตกต่างกัน ข้อมูลจีนร่วมสมัยระบุถึงผู้มีรอยสักและเครื่องหมายอื่น ๆ บนร่างกายที่แสดงถึงความแตกต่างในสถานะทางสังคม[18] หัวหน้าชาวยาโยอิในบางพื้นที่ของคีวชูดูเหมือนจะสนับสนุนและมีอิทธิพลทางการเมืองในการค้าขายสัมฤทธิ์และวัตถุมีค่าอื่น ๆ[19] ซึ่งเป็นไปได้ด้วยการนำวิธีการทำนาชลประทานจากชะวากทะเลแยงซีในจีนตอนใต้เข้าสู่ญี่ปุ่นผ่านหมู่เกาะรีวกีวหรือคาบสมุทรเกาหลี[10][20]

การเปรียบเทียบระหว่างโครงกระดูกของโจมงและยาโยอิโดยตรงแสดงให้เห็นว่าทั้งสองชนชาตินี้สามารถแยกความแตกต่างได้อย่างชัดเจน[21] โดยชาวโจมงมีแนวโน้มเตี้ยกว่า มีปลายแขนและขาส่วนล่างยาวกว่าเล็กน้อย ดวงตาลึกกว่า ใบหน้าสั้นและกว้างกว่า และลักษณะใบหน้าที่ชัดเจนกว่ามาก นอกจากนี้ ยังมีสันคิ้ว จมูก และสันจมูกที่ยกขึ้นอย่างโดดเด่น ในขณะที่ชาวยาโยอิมีความสูงเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.5–5 เซนติเมตร (0.98 นิ้ว–1.97 นิ้ว) โดยมีดวงตาตื้น ใบหน้าสูงและแคบ สันคิ้วและจมูกแบน เมื่อถึงยุคโคฟุง โครงกระดูกเกือบทั้งหมดในประเทศญี่ปุุ่นมาจากยุคยาโยอิที่มีโครงกระดูกบางส่วนผสมกับยุคโจมงเล็กน้อย (ยกเว้นจากชาวไอนุ)[22] คล้ายกับโครงกระดูกของชาวญี่ปุ่นยุคปัจจุบัน[23]

ประวัติ

[แก้]

ต้นกำเนิดชาวยาโยอิ

[แก้]

ภาษา

[แก้]

นักภาษาศาสตร์และนักโบรณคดีส่วนใหญ่ยอมรับว่าตระกูลภาษาญี่ปุ่นเกิดขึ้นและกระจายทั่วหมู่เกาะในยุคยาโยอิ

การปรากฎตัวของ วัว ในตำราประวัติศาสตร์จีน

[แก้]
ตราประทับทองคำที่กล่าวว่าจักรพรรดิฮั่นกวังอู่ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้แก่ "เจ้าแห่งนะในวัว" เมื่อ ค.ศ. 57 ตรานั้นสลักไว้ว่า ฮั่นเหว่ย์นฺหวีกั๋วหวัง (漢委奴國王)

บันทึกเกี่ยวกับประชากรญี่ปุ่นแรกสุดมาจากข้อมูลของจีนในยุคนี้ โดยกล่าวถึงวัว รูปสะกดของประเทศญี่ปุ่นในภาษาจีนตอนต้น ใน ค.ศ. 57; รัฐนะแห่งวัวได้รับตราประทับทองคำจากจักรพรรดิกวังอู่แห่งราชวงศ์ฮั่นตอนปลาย เหตุการณ์นี้ได้รับการบันทึกใน โฮ่วฮั่นชู ที่รวบรวมโดยฟ่าน เย่ในคริสต์ศตวรรษที่ 5 ตรานี้ได้รับการค้นพบี่คีวชูเหนือในคริสต์ศตวรรษที่ 18[24] วัวยังได้รับการกล่าวถึงใน ค.ศ. 257 จากสามก๊กจี่ส่วนเว่ย์จื้อ ที่รวบรวมโดยตันซิ่ว นักวิชาการในคริสต์ศตวรรษที่ 3[25]

นักประวัติศาสตร์จีนช่วงต้นกล่าวถึงวัวเป็นดินแดนที่มีชุมชนชนเผ่าที่กระจัดกระจายอยู่หลายร้อยแห่ง แทนที่จะเป็นดินแดนเดียวซึ่งมีประเพณียาวนาน 700 ปีดังที่ระบุไว้ในนิฮงโชกิ ผลงานในคริสต์ศตวรรษที่ 8 ที่บันทึกข้อมูลทางประวัติศาสตร์และตำนานเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น ซึ่งระบุปีก่อตั้งเมื่อ 660 ปีก่อนคริสต์ศักราช หลักฐานทางโบราณคดียังชี้ให้เห็นว่ามีความขัดแย้งระหว่างที่ตั้งถิ่นฐานหรือรัฐเล็ก ๆ เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงเวลาดังกล่าว โดยแหล่งชุมชนที่ผ่านการขุดพบหลายแห่งมีคูน้ำล้อมรอบหรือสร้างขึ้นบนยอดเขา โครงกระดูกมนุษย์ไร้หัวหลายอัน[26]ที่ค้นพบในอุทยานประวัติศาสตร์โยชิโนงาริถือเป็นตัวอย่างสิ่งที่พบได้ทั่วไปจากช่วงเวลานั้น ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลใน หัวลูกศรหินมักพบอยู่ท่ามกลางวัตถุฝังศพ

ข้อมูลจีนในคริสต์ศตวรรษที่ 3 รายงานว่าชาววะดำรงชีวิตด้วยปลาดิบ ผัก และข้าวที่กินบนถาดไม้ไผ่และไม้ ตบมือบูชา (เป็นสิ่งที่ยังคงมีอยู่ในศาลเจ้าชินโตในปัจจุบัน)[27] และก่อเนินดินฝังศพ

ยามาไตโกกุ

[แก้]
ฮาชิฮากะโคฟุง ซากูราอิ (จังหวัดนาระ)

เว่ย์จื้อ (จีน: 魏志) ในสามก๊กจี่กล่าวถึงยามาไตโกกุและราชินีฮิมิโกะครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 3 โดยมีข้อมูลว่า หลังสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ ฮิมิโกะขึ้นปกครองราชบัลลังก์วะในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณ น้องชายของเธอดำรงตำแหน่งกิจการของรัฐ รวมทั้งความสัมพันธ์ทางการทูตกับราชสำนักจีนในวุยก๊ก[28] เมื่อทูตวุยก๊กถามถึงต้นกำเนิด ชาววะอ้างว่าตนเป็นลูกหลานของอู๋ไท่ปั๋ว บุคคลทางประวัติศาสตร์ของรัฐอู๋ในบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซีของจีน

สถานที่ตั้งของยามาไตโกกุและตัวตนของราชินีฮิมิโกะเป็นประเด็นที่มีการค้นคว้ามาหลายปี โดยมีสถานที่ที่เป็นไปได้สองแห่ง คือ โยชิโนงาริในจังหวัดซางะและมากิมูกุในจังหวัดนาระ[29] การค้นคว้าทางโบราณคดีล่าสุดในมากิมูกุเสนอแนะว่ายามาไตโกกุตั้งอยู่ในพื้นที่นี้ นักวิชาการบางส่วนสันนิษฐานว่าฮาชิฮากะโคฟุงที่มากิมูกุคือสุสานของฮิมิโกะ[30] ความสัมพันธ์ของยามาไตโกกุกับต้นกำเนิดหน่วยการเมืองยามาโตะในยุคโคฟุงยังคงเป็นประเด็นถกเถียง

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 1.2 Shōda, Shinya (2007). "A Comment on the Yayoi Period Dating Controversy". Bulletin of the Society for East Asian Archaeology. 1. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-08-01. สืบค้นเมื่อ 2023-05-23.
  2. Habu 2004, p. 258.
  3. Mizoguchi, Koji (2013). The Archaeology of Japan: From the Earliest Rice Farming Villages to the Rise of the State. Cambridge University Press. pp. 35–36. ISBN 978-0-521-88490-7.
  4. Seike, Kiyoshi (1977). The art of Japanese joinery. Yuriko Yobuko, Rebecca M. Davis (1st ed.). New York: J. Weatherhill. p. 8. ISBN 0-8348-1516-8. OCLC 3071841.
  5. Farris, William Wayne (1996). "Ancient Japan's Korean Connection". Korean Studies. 20 (1): 1–22. doi:10.1353/ks.1996.0015. JSTOR 23719600. S2CID 162644598.
  6. Hays, J. (n.d.). Yayoi people, life, and culture (400 B.C.-A.D. 300). Facts and Details. https://factsanddetails.com/japan/cat16/sub105/entry-5285.html
  7. "Yayoi Period (300 BCE – 250 CE)". Japan Module. Pitt.
  8. "Timelines: Japan". Asia for Educators. Columbia University.
  9. "Bronze mirror". Pitt Rivers Museum Body Arts. Oxford.
  10. 10.0 10.1 Keally, Charles T. (2006-06-03). "Yayoi Culture". Japanese Archaeology. Charles T. Keally. สืบค้นเมื่อ 2010-03-19.
  11. Shoda, Shin'ya (2010). "Radiocarbon and Archaeology in Japan and Korea: What has Changed Because of the Yayoi Dating Controversy?". Radiocarbon. Cambridge University Press (CUP). 52 (2): 421–427. Bibcode:2010Radcb..52..421S. doi:10.1017/s0033822200045471. ISSN 0033-8222.
  12. "The Yayoi Period: Analyzing its Culture Through Agricultural Tools". Japan Times. 16 August 2012.
  13. Picken, Stuart D. B. Historical Dictionary of Japanese Business. Scarecrow Press. p. 13.
  14. 14.0 14.1 Imamura, Keiji. Prehistoric Japan: New Perspectives on Insular East Asia. University of Hawaii Press. p. 13.
  15. "Annual Report on Research Activity 2004". JP: Rekihaku.
  16. Seiji Kobayashi. "Eastern Japanese Pottery During the Jomon-Yayoi Transition: A Study in Forager-Farmer Interaction". Kokugakuin Tochigi Junior College. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-09-23.
  17. Yayo, Met museum
  18. Lock, Margaret (1998). "Japanese". The Encyclopedia of World Cultures CD-ROM. Macmillan. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 13, 2012. สืบค้นเมื่อ July 10, 2015.
  19. Pearson, Richard J. Chiefly Exchange Between Kyushu and Okinawa, Japan, in the Yayoi Period. Antiquity 64(245) 912–22, 1990.
  20. Earlier Start for Japanese Rice Cultivation, Dennis Normile, Science, 2003 (archive)
  21. 縄文人の顔と骨格-骨格の比較 เก็บถาวร 2007-12-23 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Information technology Promotion Agency
  22. "Repository" (PDF). University of the Ryukyus. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-09-25. สืบค้นเมื่อ 2009-05-30.
  23. Diamond, Jared (June 1, 1998). "Japanese Roots". Discover Magazine. 19 (6 June 1998). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-11-24. สืบค้นเมื่อ 14 December 2013.
  24. "Gold Seal (Kin-in)". Fukuoka City Museum. สืบค้นเมื่อ 2007-11-10.
  25. 魏志倭人伝 เก็บถาวร 2010-10-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Chinese texts and its Japanese translation
  26. Huffman, James L. (2010-02-04). Japan in World History (ภาษาอังกฤษ). Oxford University Press. ISBN 978-0-19-970974-8.
  27. Wikisource
  28. 魏志倭人伝, Chinese texts of the Wei Zhi, Wikisource
  29. Karako-kagi Archaeological Museum (2007). "ヤマト王権はいかにして始まったか". Comprehensive Database of Archaeological Site Reports in Japan. สืบค้นเมื่อ 2016-09-01.
  30. Edwards, Walter (1996). "In Pursuit of Himiko. Postwar Archaeology and the Location of Yamatai". Monumenta Nipponica. 51 (1): 74. doi:10.2307/2385316. ISSN 0027-0741. JSTOR 2385316.

บรรณานุกรม

[แก้]

อ่านเพิ่ม

[แก้]
  • Schirokauer, Conrad (2013). A Brief History of Chinese and Japanese Civilizations. Boston: Wadsworth Cengage Learning.
  • Silberman, Neil Asher (2012). The Oxford Companion to Archaeology. New York: Oxford University Press.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]
pFad - Phonifier reborn

Pfad - The Proxy pFad of © 2024 Garber Painting. All rights reserved.

Note: This service is not intended for secure transactions such as banking, social media, email, or purchasing. Use at your own risk. We assume no liability whatsoever for broken pages.


Alternative Proxies:

Alternative Proxy

pFad Proxy

pFad v3 Proxy

pFad v4 Proxy